- บาท - (-%)

Carbon Neutrality คืออะไร | ความเป็นกลางทางคาร์บอนแบบเข้าใจง่าย

05 กุมภาพันธ์ 2568

ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คืออะไร?

Carbon Neutrality คือแนวคิดการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ ที่หลายองค์กรและหลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นในทุก ๆ ปี อันเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์กระทำ หากไม่มีการวางมาตรการหรือแนวคิดที่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมโลกคงยากต่อการอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงเกิดเป็นเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนที่หลายประเทศทั่วโลกต่างร่วมมือกัน

ทำความรู้จักกับ Carbon Neutrality

Carbon Neutrality คืออะไร

Carbon Neutrality หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน หมายถึงการทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) ออกสู่ชั้นบรรยากาศมีค่าเท่ากับปริมาณที่สามารถดูดซับกลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะผ่านวิธีทางธรรมชาติ เช่น การปลูกป่า หรือผ่านเทคโนโลยี เช่น ระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

สาเหตุสำคัญของการเกิดโลกร้อน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโลกร้อนที่เกี่ยวข้องกับ Carbon Neutrality มาจากการสะสมของ ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO) มีเทน (CH) และไนตรัสออกไซด์ (NO) ในชั้นบรรยากาศ อันเป็นผลจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยก๊าซเหล่านี้ในปริมาณมหาศาล กิจกรรมที่เป็นต้นเหตุหลัก ได้แก่ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า และการคมนาคมขนส่ง การทำลายป่าไม้ที่ลดความสามารถในการดูดซับคาร์บอน รวมถึงการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ที่ปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ เมื่อก๊าซเรือนกระจกสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น จะกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นและเกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ความสำคัญของ Carbon Neutrality

Carbon Neutrality มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งมีผลกระทบในหลายด้านสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ลดผลกระทบต่อสุขภาพและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรและประเทศ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือกุญแจสำคัญในการสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

ข้อดีของ Carbon Neutrality

Carbon Neutrality มีข้อดีอย่างมากมายที่ส่งผลเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ในด้านเศรษฐกิจ การมุ่งสู่ Carbon Neutrality คือหนึ่งในวิธีกระตุ้นการลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสร้างโอกาสใหม่ในการจ้างงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ การดำเนินงานเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความเชื่อมั่นในสายตาของผู้บริโภคและนักลงทุนอีกด้วย

Net Zero Emissions และ Carbon Neutrality แตกต่างกันอย่างไร?

Net Zero Emissions กับ Carbon Neutrality มีความคล้ายกันในรูปแบบการดำเนินงาน ที่ต้องการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ Net Zero Emissions เป็นรูปแบบมิติที่กว้างและครอบคลุมมากกว่า เพราะเป็นการพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (ไม่ใช่แค่คาร์บอนอีกต่อไป) ที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น อีกทั้งโดยส่วนใหญ่แล้ว Net Zero Emissions จะเป็นเป้าหมายที่ตั้งในระดับประเทศ ในขณะที่ Carbon Neutrality คือเป้าหมายที่องค์กรหรือบริษัทสามารถเริ่มต้นดำเนินการได้เอง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอน

  1. พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol): ข้อตกลงระหว่างประเทศที่จัดทำขึ้นในปี 1997 และเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2005 โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนหลักในอดีต นับเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด Carbon Neutrality เลยก็ว่าได้ ซึ่งพิธีสารเกียวโตจะตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าระดับในปี 1990 ในช่วงปี 2008 ถึง 2012 ประเทศต่าง ๆ โดยแต่ละประเทศต้องส่งปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม พิธีสารเกียวโตถูกวิจารณ์เรื่องข้อจำกัด เนื่องจากไม่ได้กำหนดเป้าหมายลดคาร์บอนแก่ประเทศกำลังพัฒนา และสหรัฐอเมริกาปฏิเสธการให้สัตยาบันเพราะกังวลเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
  2. ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement): จัดทำขึ้นในปี 2015 และเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2016 ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญจากพิธีสารเกียวโต รวมถึงต่อยอดแนวคิด Carbon Neutrality โดยมีเป้าหมายควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 ข้อตกลงนี้กำหนดให้ทุกประเทศ ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนระดับชาติ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ซึ่งจะต้องปรับปรุงเป้าหมายทุก 5 ปี

พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

  1. พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy): ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและไม่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต เข้ากับแนวทาง Carbon Neutrality ได้เป็นอย่างดี โดยพลังงานแสงอาทิตย์สามารถแปลงเป็นไฟฟ้าได้โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งใช้ได้ทั้งในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  2. พลังงานลม (Wind Energy): การใช้พลังงานจากลมในการผลิตไฟฟ้าผ่านกังหันลมช่วยลดการปล่อยคาร์บอนโดยไม่เกิดมลพิษ และเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลมแรงเหมาะสม การใช้พลังงานลมเป็นทางเลือกที่ดีในการลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล
  3. พลังงานน้ำ (Hydropower): จากเขื่อนหรือแหล่งน้ำที่มีการไหลเชี่ยวสามารถใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานน้ำเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตไฟฟ้า เหมาะกับองค์กรที่ต้องการสนับสนุนแนวทาง Carbon Neutrality แต่ต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ

การใช้พลังงานสะอาดช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นแหล่งพลังงานที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ทั้งนี้ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในระดับอุตสาหกรรมและการขนส่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการบรรลุ Carbon Neutrality และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS ตระหนักถึงความสำคัญด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) จึงพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องทั้ง โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ รวมถึงส่งเสริม green Logistics รถบรรทุกไฟฟ้า EV ใช้ขนส่งในโรงไฟฟ้า โดยใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยลดการใช้เครื่องยนต์สันดาป ลดการปล่อยคาร์บอนและช่วยด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งยั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป